วันอังคารที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2559

ประวัติผู้จัดทำ

ประวัติผู้จัดทำ



ด.ญ.ศิริวรรณ ปัญญาเปียว
ม.2/3 เลขที่ 23
โรงเรียน อบจ . เมืองภูเก็ต

อุปกรณ์ในการเลี้ยงแมว

อาหาร

จะเลี้ยงน้องแมวให้โตกันได้ เราก็ต้องให้อาหารแก่น้องแมวอย่างเพียงพอ การพิจารณาว่าจะเลือกอาหารแบบใดให้แมวดีนั้น ควรดูจาก ชนิดอาหาร คุณภาพหรือเกรดอาหาร สุขภาพของแมว การเก็บรักษา และงบประมาณค่าอาหารที่เจ้าของสะดวก
อาหารเม็ดนั้นมีข้อดี คือ เก็บรักษาง่าย สะดวกในการให้ มีหลายเกรด หลายราคาให้เจ้าของเลือก สมดุลสารอาหารครบถ้วน และมักพบว่าน้องแมวที่ทานอาหารเม็ดมักจะมีสุขภาพช่องปากที่ดีกว่าแมวที่กินอาหารเปียกนิ่มๆ เนื่องจากได้เกิดการขัดสีฟันจากการกินอาหารที่แข็ง ส่วนข้อเสียก็คือ น้องแมวบางตัวอาจไม่ชอบทานอาหารเม็ด อาจไม่เหมาะสำหรับแมวที่มีปัญหาเจ็บช่องปากที่เคี้ยวอาหารแข็งๆไม่ไหว หรือแมวป่วยที่ไม่ยอมทานอาหารที่เจ้าของต้องป้อนอาหาร การป้อนอาหารเม็ดให้แก่แมวคงเป็นเรื่องที่ยาก
อาหารเปียกแบบสำเร็จรูปนั้นมีข้อดีคือ มีกลิ่นฉุนหอม ดึงดูดใจให้น้องแมวอยากกินอาหาร ป้อนได้ง่ายกว่าในกรณีที่แมวมีปัญหาเรื่องการกินหรือเจ็บป่วยอยู่ ส่วนข้อเสียคือ เมื่อให้แล้วควรให้แมวกินให้หมด ไม่ควรตั้งทิ้งไว้นานๆ เพราะอาจบูดได้ และแมวที่กลิ่นแต่อาหารเปียกมักจจะมีกลิ่นปากที่แรงกว่าแมวที่กินอาหารเม็ด ส่วนการให้อาหารแบบปรุงเองนั้นมีข้อดีคือ วัตถุดิบที่นำมาปรุงอาหารแมวนั้น เราสามารถเลือกคุณภาพได้เอง ไม่มีสารกันบูดหรือสารกันเสียจากกระบวนการผลิตอาหารสำเร็จรูป ความน่ากินสูง แต่ข้อเสียคือ ถ้าเจ้าของไม่มีความรู้ทางโภชนาการอาหารสัตว์ อาจปรุงอาหารน้องแมวที่ขาดความสมดุลของแร่ธาตุและพลังงาน เสียเวลาในการเตรียมอาหาร
ในกรณีที่เราเลือกให้อาหารสำเร็จรูปนั้นก็ควรพิจารณาถึงคุณภาพอาหาร ในท้องตลาดปัจจุบัน อาหารสำเร็จรูปสำหรับน้องแมวอาจแบ่งเป็นสองเกรดคร่าวๆ ได้แก่ เกรดพรีเมี่ยม และเกรดทั่วไป ซึ่งจะมีความแตกต่างกันทั้งในส่วนของวัตถุดิบ สารเสริมอาหาร บรรจุภัณฑ์ จึงส่งผลให้ราคาของทั้งสองเกรดนี้แตกต่างกันราวๆ 2-3 เท่า ทั้งนี้การจะเลือกอาหารเกรดนั้นคงขึ้นกับตัวเจ้าของน้องแมวว่าสะดวกซื้อแบบใด ถ้าเป็นไปได้ส่วนตัวของผู้เขียนก็แนะนำให้เลือกซื้อเกรดพรีเมี่ยมจะดีกว่าค่ะ
นอกจากนี้ยังมีอาหารแมวสำเร็จรูปที่ใช้ประกอบการรักษาโรคอีกด้วย ซึ่งจะมีการพัฒนาสูตรและสารอาหารให้เหมาะกับโรคต่างๆขึ้นมา ส่วนใหญ่อาหารเหล่านี้สัตวแพทย์จะเป็นผู้สั่งจ่ายให้เจ้าของน้องแมวซื้อไปตามโรคที่น้องแมวเป็น ไม่ควรซื้ออาหารรักษาโรคเหล่านี้ไปให้น้องแมวกินโดยไม่ได้รับคำปรึกษาจากสัตวแพทย์ค่ะ เพราะอาจซื้อได้ไม่ตรงกับโรคที่น้องแมวเป็น และอาหารเหล่านี้มักมีราคาแพงกว่าอาหารเกรดพรีเมี่ยมอีกเกือบเท่าตัวเลยค่ะ

ชามอาหาร/น้ำ

ควรมีชามอาหารและน้ำอย่างละใบต่อแมว 1 ตัวเป็นอย่างน้อย ควรตั้งไว้ในจุดที่ไม่มีคนเดินผ่านไปมาพลุกพล่านเกินไป เพราะแมวบางตัวอาจมีนิสัยระแวงว่าจะมีใครมาแย่งกิน และจะกินได้น้อยหรือกินไประแวงไป ถ้ามีคนหรือสัตว์อื่นเดินผ่านไปมาตลอด ขนาดชามอาหารและน้ำ ควรเลือกให้พอเหมาะกับตัวแมว ไม่ใหญ่หรือเล็กเกินไป และทำจากวัสดุที่มีความแข็งแรง คงทน ทำความสะอาด-ล้างได้ง่าย

กระบะทราย/ทรายแมว

กรระบะทราย | ชุมชนคนรักแมว | Catinlove.com
                การเลี้ยงแมวในยุคปัจจุบันนี้ โดยเฉพาะการเลี้ยงแมวไว้ในบ้านตลอด เป็นสิ่งบังคับให้เราต้องจัดหาพื้นที่ขับถ่ายให้กับน้องแมว ซึ่งสิ่งที่สะดวกและเก็บทำความสะอาดได้ง่าย ก็คือ การใช้กระบะทรายและซื้อทรายแมวสำเร็จรูปมาเทใส่ไว้ เพื่อให้แมวมาขับถ่ายนั่นเอง
กระบะทรายที่เลือกให้น้องแมวนั้น ควรเลือกขนาดที่เหมาะสม ไม่เล็กเกินไป ใหญ่พอที่จะให้น้องแมวนั่งปลดทุกข์ได้สบายๆ ขอบของกระบะทรายควรจะสูงในระดับหนึ่ง ไม่เตี้ยเกินไป เพราะเนื่องจากเวลาที่แมวทำธุระเสร็จแล้ว แมวจะมีนิสัยกลบอึ/ฉี่ของตัวเอง ถ้าของกระบะทรายเตี้ยเกินไป ก็อาจทำให้เวลาแมวคุ้ยทรายมากลบอึ ทรายก็จะกระเด็นออกมาเลอะเทอะบริวณโดยรอบได้ ตัวกระบะทรายนั้ย อาจใช้กระบะพลาสติกที่มีขายตามห้างทั่วไปก็ได้ หรือจะเลือกกระบะทรายแมวโดยเฉพาะ ซึ่งมักจะออกแบบมาให้มีขอบบนงุ้มเข้า จะช่วยบังไม่ให้ทรายกระเด็นออกมานอกกระบะได้ส่วนหนึ่ง หรืออาจเลือกกระบะทรายที่ออกแบบมาแบบมีหลังคาปิดก็ได้ค่ะ
ทรายแมวสำเร็จรูปนั้น ในปัจจุบันจะทำมาจากหลากหลายวัตถุดิบ เช่น ทำจากดินภูเขาไฟ ซึ่งมักจะเป็นแบบเม็ดเล็กๆ เมื่อโดนของเหลวหรือฉี่ ทรายแมวจะจับรวมตัวกันเป็นก้อน ทำให้ตักทำความสะอาดได้ง่าย แบบผลึกคริสตัลใสซึ่งมักจะมีข้อดีคือ ดูดซับกลิ่นอึ/ฉี่แมวได้ค่อนข้างดีกว่าแบบอื่น แบบที่ทำจากเยื่อไม้หรือเยื่อกระดาษ โดยทรายแบบนี้จะมีข้อดีคือ น้ำหนักเบากว่าแบบอื่น วัสดุเป็นมิตรกับธรรมชาติ ย่อยสลายได้ง่าย ดูดซับกลิ่นได้ดีพอควร การจะเลือกทรายแบบใดนั้นขึ้นอยู่กับงบประมาณ นิสัยและรสนิยมของแมวเป็นหลัก นอกจากนี้อย่าลืมซื้อที่ตักทรายแมวด้วยนะคะ

น้ำยาเช็ดหู/ก้านสำลีเช็ดหู

เจ้าของแมวควรทำความสะอาดหูแมวเป็นประจำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง โดยน้ำยาเช็ดหูนั้นมีขายทั่วไปตามคลีนิคสัตวแพทย์และร้านเพ็ทชอปทั่วไป ถ้าน้องแมวมีแนวโน้มจะผิวแพ้ง่าย ควรเลือกน้ำยาเช็ดหูที่ไม่ผสมแอลกอฮอล์ ไม่ควรนำแอลกอฮอล์สำหรับเช็ดทำความสะอาดฆ่าชื้อที่ผิวหนังมาใช้เช็ดหูนะคะเพราะแอลกอฮอล์อาจทำให้เกิดการระคายเคืองที่ใบหูและช่องหู จนอาจทำให้เป็นหูอักเสบและติดเชื้อตามมาได้ ส่วนก้านสำลีเช็ดหูนั้น ถ้าแมวตัวไม่ใหญ่อาจใช้ก้านสำลีของคนก็ได้ แต่ถ้าแมวตัวใหญ่หรือก้านสำลีของคนด้ามอาจจะสั้นจับไม่ถนัด ก็ให้ซื้อก้านสำลีสำหรับเช็ดหูสำหรับน้องหมาหรือน้องแมว ซึ่งมีขายทั่วไปตามร้านสัตวแพทย์และร้านเพ็ทชอปค่ะ

แชมพู/อุปกรณ์ทำความสะอาด

จริงๆแล้วแมวเป็นสัตว์ที่มีนิสัยรักสะอาด ชอบเลียขนตัวเองให้สะอาดอยู่แล้ว แต่ในบางกรณีก็ยังจำเป็นต้องอาบน้ำหรือทำความสะอาดตัวให้น้องแมว เช่น เจ้าของบางท่านอาจเป็นภูมิแพ้ฝุ่นละออง ถ้าไม่ทำความสะอาดตัวแมวก็อาจจะมีอาการภูมิแพ้รุนแรงขึ้น เพราะฝุ่นละอองที่ติดมากับขนแมว โดยเฉพาะน้องแมวขนยาว การอาบน้ำให้น้องแมว ควรหัดน้องแมวให้ยอมรับการอาบน้ำตั้งแต่ยังเป็นลูกแมว เพราะถ้ามาหัดอาบตอนโตแล้วน้องแมวมักจะไม่ยอมค่ะ
แชมพูสำหรับน้องแมวนั้น ควรเลือกแชมพูที่อ่อนโยนสำหรับแมวโดยเฉพาะ ไม่ควรนำแชมพูของคนมาใช้ ห้ามใช้แชมพูน้องหมาที่ผสมสารเคมีสำหรับกำจัดเห็บหมัดโดยเด็ดขาด เพราะแชมพูเหล่านี้จะมีสารที่มีฤทธิ์ฆ่าแมลงซึ่งมักเป็นพิษต่อแมวค่ะ เมื่ออาบน้ำเสร็จแล้วให้รีบเช็ดตัวแมวให้แห้งด้วยผ้าขนหนูสะอาด/หรืออาจใช้ผ้าชามัวร์ซึ่งจะช่วยซับน้ำได้ดีก็ได้ค่ะ ถ้าแมวไม่กลัวเสียงไดร์ ก็ให้เอาไดร์มาเป่าให้ขนแห้ง (ระวังอย่าใช้เบอร์ไดร์แรงเกินไป เพราะแมวมักไม่ชอบ) แต่ถ้าแมวกลัวเสียงไดร์ก็ให้เอาผ้าเช็ดตัวให้แห้งที่สุดค่ะ
ในกรณีที่แมวไม่ยอมให้อาบน้ำ อาจใช้เป็นแชมพูแห้งแล้วหวีออก อาจใช้ผ้าเช็ดตัวสัตว์ หรือน้ำยาทำความสะอาดตัวสัตว์ (ไม่ใช่แชมพูนะคะ) ผสมน้ำแล้วเช็ดตัวก็ได้ ถ้าน้องแมวที่เลี้ยงเป็นแมวขนยาว เจ้าของควรหาซื้อหวีซี่สำหรับแปรงขนแมว และเอามาแปรงขนแมวเป็นประจำเพื่อป้องกันไม่ให้ขนพันกันเป็นสังกะตังค่ะ

เบาะ/ที่นอน

เจ้าของบางท่านอาจจะหาเบาะไว้สำหรับให้น้องแมวนอน อาจจะซื้อเป็นเบาะนอนสำเร็จรูปที่มีขายตามร้านเพ็ทชอป หรืออาจจะหาลังกระดาษที่สะอาดและขนาดพอเหมาะ แล้ววางผ้าขนหนูรองก้นลังก็ได้ค่ะ

กระเป๋า/ตะกร้าสำหรับใส่น้องแมวเดินทาง

เจ้าของควรเตรียมตะกร้าที่มีตัวล็อคหรือกระเป๋าสำหรับใส่น้องแมวเวลาเดินทางออกนอกบ้าน เช่น เวลาพาไปฉีดวัคซีนที่คลีนิคสัตวแพทย์ เป็นต้น ไม่แนะนำให้อุ้มน้องแมวเดินไปมาโดยไม่ใส่กระเป๋าหรือตะกร้า เพราะน้องแมวเป็นสัตว์ที่ค่อนข้างตื่นตกใจสถานที่ที่ไม่คุ้นได้ง่าย ผู้เชียนเองเคยเจอคสเจ้าของอุ้มแมวมาเพื่อจะฉีดวัคซีน ปรากฏว่าแมวตกใจเสียงรถเลยกระโดดหลุดจากมือเจ้าของตรงหน้าประตูคลีนิค แล้ววิ่งเตลิดไปโดนรถชนจนบาดเจ็บเกือบเสียชีวิตเลยค่ะ

ของเล่น/อุปกรณ์ลับเล็บ

แมวจะมีนิสัยชอบลับเล็บ โดยเฉพาะกับเฟอร์นิเจอร์ ผ้าม่าน หรือลังกระดาษต่างๆ ซึ่งอาจจะเป็นการทำลายข้าวของในบ้านได้ จึงแนะนำว่าให้หาแผ่นกระดานหรือของเล่นที่สามารถให้แมวมาลับเล็บได้จะดีกว่าค่ะ ส่วนของเล่นแมวอื่นๆ อาจจะมีไว้เพื่อเล่นกับแมว ไม่ให้แมวเครียด โดยเฉพาะในกรณีที่เลี้ยงแมวในบ้านหรือห้องพักแคบๆตลอด ของเล่นน้องแมวอาจจะเป็นพวกไม้ที่ติดปลายขนนก เลเซอร์พอยเตอร์ หรือตุ๊กตาหนูตัวเล็กๆก็ได้ค่ะ

ที่มา catinlove.com

ข้อดีของการเลี้ยงแมว

ข้อดีของการเลี้ยงแมว

    การเลี้ยงแมวเป็นเพื่อนเล่น จะมอบคุณประโยชน์มากมายทั้งในด้านร่างกายและจิตใจ เพราะแมวสามารถหยิบยื่นมิตรภาพ  ความรักและโอกาส ที่จะสานความสัมพันธ์ใกล้ชิด กับสิ่งมีชีวิตประเภทอื่นได้ นอกจากนี้แมวยังช่วยลดความตึงเครียด จากการทำงาน และช่วยลดความเหงาหงอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งมอบความสุข สนุกสนานให้คุณได้แบบไม่รู้จบ









ที่มา https://sites.ที่มา google.com/site/knowingaboutcats/khumux-kar-leiyng-maew/khxdi-khxng-kar-leiyng-maew

แมวไทย

                  แมวไทย คือแมวที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศไทย คุณสมบัติที่ทำให้แมวไทยเหนือกว่าแมวชนิดอื่น คือ อุปนิสัย แมวไทยมีความฉลาด มีความเป็นตัวของตัวเอง รู้จักคิด รู้จักประจบ รักบ้าน รักเจ้าของ และเหนืออื่นใด คือ รักความอิสระของตัวเองเป็นชีวิตจิตใจ อิสระที่ จะกิน จะดื่ม หรือจะไปไหนตามที่ใจชอบ ซึ่งถือว่าเป็นบุคลิกประจำตัวที่ทำให้แตกต่างจากแมวพันธุ์อื่น สีสันตามตัวของแมวไทย เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้นักรักแมวรู้สึกสุขใจยามได้มอง ไม่ว่าจะเป็น วิเชียรมาศ เก้าแต้ม ขาวมณีหรือขาวปลอด นิลรัตน์หรือดำปลอด ศุภลักษณ์หรือ ทองแดง สีสวาดหรือแมวไทยพันธุ์โคราช ต่างล้วนได้รับความสนใจ จากเจ้าของและผู้สนใจทั้งสิ้น
เมื่อปี พ.ศ. 2427 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้พระราชทานแมววิเชียรมาศคู่หนึ่งให้แก่ กงสุลอังกฤษชื่อนาย โอเวน กูลด์ (Owen Gould) แมวไทยคู่นี้ชนะการประกวดแมวที่ กรุงลอนดอน และทำให้ชาวอังกฤษนิยมเลี้ยงแมวไทยมากขึ้น ในที่สุดก็แพร่หลายไปทั่วโลก และแมววิเชียรมาศก็เป็นที่รู้จักในภาษาอังกฤษว่า "Siamese Cat" หรือแมวสยาม นับแต่สมัยกรุงธนบุรีเป็นต้นมา จวบจนถึง สมัยรัชกาลที่ 5 ลาวได้อพยบสู่สยามโดยการกวดต้อนครัวเรือนชาวลาวไปสยามจำนวนมาก พวกสัตว์ประเภทต่างๆก็คงได้อพยบไปด้วย แมวไทยอาจมีสายเลือดแมวลาวปนอยู่ด้วยอย่างมาก
แมวไทย (วิฬาร) ที่ยังเหลือให้พบเห็นในปัจจุบันนี้มี 6 ชนิดคือ วิเชียรมาศ สีสวาด ศุภลักษณ์ โกญจา ขาวมณี และแซมเสวตร  แต่แท้จริงแล้วในสมุดข่อยโบราณได้กล่าวถึงแมวไทยว่ามีทั้งหมด 23 สายพันธุ์ แบ่งออกเป็นแมวให้คุณ 17 ชนิด และ แมวร้ายให้โทษอีก 6 ชนิด
สำหรับในประเทศไทย คนไทยที่เป็นที่รับรู้ดีว่าชอบเลี้ยงแมวไทย อาทิ เช่น นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรีและอดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร, นายพิชัย วาสนาส่ง ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการต่างประเทศ และ ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล อดีตผู้อำนวยการองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (อสมท.) เป็นต้น

ทีมา http://pirun.ku.ac.th/~b521080213/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2.html

แมวอัปมงคล

แมวร้ายให้โทษ 6 ชนิด


   1. ทุพลเพศ มีขนสีขาว ดวงตาสีแดงดั่งโลหิตทาตาไว้ มีนิสัยไม่ดีชอบลักขโมยปลาไปกินทุกคำคืน ใครเลี้ยงไว้จะให้โทษไม่เป็นสุขเกิดความเดือดร้อนแรงผลาญ


   2. พรรณพยัคฆ์ หรือ ลายเสือ มีขนลายเหมือนเสือ ลักษณะขนเหมือนชุบด้วยเกลือกับแกลบ มีนัยน์ตาสีแดงเจือสีเปือกตม มีเสียงร้องเหมือนเสียงผีโป่งร้องอยู่ตามป่าเขา ถือว่าเป็นแมวให้โทษอีกชนิดหนึ่ง


  3. ปีศาจ เป็นแมวที่กินลูกตัวเอง ออกลูกมากี่ตัวกินหมด โบราณถือว่าสัตว์เลี้ยงเพศเมีย ถ้าคลอดลูกออกมาแล้วกินลูกตัวเอง ไม่ว่าสุนัขหรือแมวห้ามเลี้ยงเด็ดขาด ลักษณะขนสาก ตัวผอม หนังยาน ชอบหลบตามที่มืด กลางวันเซื่องซึม กลางคืนกลับว่องไวปานผีร้าย โบราณจัดเป็นแมวร้ายอย่านำมาเลี้ยงไว้


   4. หิณโทษ เป็นแมวนำมาซึ่งสิ่งเลวร้าย นำภัยพิบัติมาสู่บ้าน ใครเลี้ยงไว้จะไม่เป็นมงคล ออกลูกมามักจะมีลูกตายอยู่ในท้อง


   5. กอบเพลิง เป็นแมวที่ลึกลับชอบซ่อนตัวหลบหลีกผู้คน พอมันเห็นคนมันจะเดินหรือรีบวิ่งหนี ใครเลี้ยงไว้จะมีโทษถึงตัว


   6. เหน็บเสนียด มีลักษณะเหมือนค่าง ชอบเอาหางขดซ่อนไว้ใต้ก้นเสมอ มีรูปร่างพิกลพิการ อย่าเลี้ยงไว้ในบ้านจะทำให้เสียชื่อเสียงและเกียรติยศ



ที่มา http://lovemeawmeaw.blogspot.com/2011/11/17-6-1.html

แมวพันธุ์แปลก

1. แมวทราย (Sand Cat)
        แมวที่อาศัยอยู่ในทะเลทรายซาฮารา ตะวันออกกลางไปจนถึงเตอร์กีสถาน ขนาดลำตัวจากหัวจรดหางยาว 29-36 นิ้ว สูง 10-12 นิ้ว มีน้ำหนักตั้งแต่ 1.8–3.6 กิโลกรัม กินสัตว์เลื้อยคลาน แมลง งู และนกเป็นอาหาร จุดเด่นอยู่ที่หน้าตาแบ๊ว ๆ แต่มีสีและขนลายเหมือนเสือตัวน้อย ๆ  

10 สายพันธุ์แมวหายาก
2. แมวลิงซ์แคนาดา (Canadian Lynx)

        เป็นแมวป่าขนาดกลาง อาศัยอยู่ตามป่าเขตหนาวแถบอะแลสกาและแคนาดา มีขนหนานุ่มเพื่อช่วยป้องกันความหนาวจากหิมะ โดยขนจะมีสีน้ำตาลอ่อนแซมเทา หางสั้น อุ้งเท้ากับขามีขนาดใหญ่เป็นพิเศษเพราะต้องเดินฝ่าหิมะบ่อย นอกจากนี้ยังสามารถมองได้ไกลถึง 76 เมตรเลย

10 สายพันธุ์แมวหายาก

10 สายพันธุ์แมวหายาก ที่คุณอาจไม่เคยรู้ว่ามีชีวิตอยู่บนโลกนี้ !

10 สายพันธุ์แมวหายาก

        รู้หรือเปล่าว่าโลกของเราไม่ได้มีแค่แมวบ้านที่เราเลี้ยงไว้เป็นสัตว์เลี้ยงเท่านั้นนะ แต่ยังมีแมวอีกหลากหลายสายพันธุ์ที่อาศัยอยู่บนโลกนี้ เพียงแต่คุณอาจยังไม่เคยรู้เพราะส่วนใหญ่แมวเหล่านี้อาศัยอยู่ตามป่าเขาเท่านั้นเอง 

        แมวเป็นสัตว์ที่มีความเป็นมิตร เข้ากับคนได้ดี ที่เราคุ้นเคยกันส่วนมากก็จะเป็นสายพันธุ์ที่นิยมนำมาเป็นสัตว์เลี้ยงหรือที่เรียกกันว่า “แมวบ้าน” แต่นอกจากแมวบ้านเชื่อง ๆ แล้วยังมีแมวอีกหลายสายพันธุ์ บางชนิดนิยมเลี้ยงกันเฉพาะในพื้นที่ บางชนิดก็ขึ้นชื่อว่าหาดูยากสุด ๆ เพราะอาศัยอยู่ในป่าลึก ตามเทือกเขาสูง และป่าหิมะเท่านั้น วันนี้กระปุกดอทคอมจึงได้รวบรวมสายพันธุ์แมวหายากมาให้ได้ชมกัน จะได้รู้ว่านอกจากแมวบ้านแล้ว ยังมีแมวสวย ๆ เหล่านี้อยู่บนโลกด้วยนะ 

10 สายพันธุ์แมวหายาก

1. แมวทราย (Sand Cat)
        แมวที่อาศัยอยู่ในทะเลทรายซาฮารา ตะวันออกกลางไปจนถึงเตอร์กีสถาน ขนาดลำตัวจากหัวจรดหางยาว 29-36 นิ้ว สูง 10-12 นิ้ว มีน้ำหนักตั้งแต่ 1.8–3.6 กิโลกรัม กินสัตว์เลื้อยคลาน แมลง งู และนกเป็นอาหาร จุดเด่นอยู่ที่หน้าตาแบ๊ว ๆ แต่มีสีและขนลายเหมือนเสือตัวน้อย ๆ 

10 สายพันธุ์แมวหายาก

2. แมวลิงซ์แคนาดา (Canadian Lynx)

        เป็นแมวป่าขนาดกลาง อาศัยอยู่ตามป่าเขตหนาวแถบอะแลสกาและแคนาดา มีขนหนานุ่มเพื่อช่วยป้องกันความหนาวจากหิมะ โดยขนจะมีสีน้ำตาลอ่อนแซมเทา หางสั้น อุ้งเท้ากับขามีขนาดใหญ่เป็นพิเศษเพราะต้องเดินฝ่าหิมะบ่อย นอกจากนี้ยังสามารถมองได้ไกลถึง 76 เมตรเลย

10 สายพันธุ์แมวหายาก

3. แมวพัลลัส (Pallas Cat)

        สายพันธุ์แมวป่าที่มีขนาดใกล้เคียงกับแมวบ้าน อาศัยอยู่แถบทะเลทรายอัลไพน์ ทุ่งหญ้าสเตปป์ และจะพบได้บนภูเขาที่มีความสูงกว่าระดับน้ำทะเล 4,800 เมตร มีขนยาวหนาและสามารถเปลี่ยนเป็นสีเท่าอ่อนได้ในฤดูหนาว แต่เปลี่ยนเป็นสีเทาปนน้ำตาลแดงเมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิ

10 สายพันธุ์แมวหายาก
4. แมวตีนดำ (Black-footed Cat)

        แมวป่าสายพันธุ์ขนาดเล็กที่สุดแถบแอฟริกา โดยจะมีความสูงเพียง 8–10 นิ้วเท่านั้น มีขนสีน้ำตาลอ่อนแซมจุดสีดำทั่วลำตัว อุ้งเท้ามีสีดำพบได้ในป่าแอฟริกาใต้ ทุ่งหญ้าสะวันนาที่มีหญ้าสูง โดยจะออกล่าเหยื่อในตอนกลางคืนส่วนกลางวันจะแอบซ่อนในโพรงหรือรูบนเนินดิน

10 สายพันธุ์แมวหายาก

10 สายพันธุ์แมวหายาก ที่คุณอาจไม่เคยรู้ว่ามีชีวิตอยู่บนโลกนี้ !

10 สายพันธุ์แมวหายาก

        รู้หรือเปล่าว่าโลกของเราไม่ได้มีแค่แมวบ้านที่เราเลี้ยงไว้เป็นสัตว์เลี้ยงเท่านั้นนะ แต่ยังมีแมวอีกหลากหลายสายพันธุ์ที่อาศัยอยู่บนโลกนี้ เพียงแต่คุณอาจยังไม่เคยรู้เพราะส่วนใหญ่แมวเหล่านี้อาศัยอยู่ตามป่าเขาเท่านั้นเอง 

        แมวเป็นสัตว์ที่มีความเป็นมิตร เข้ากับคนได้ดี ที่เราคุ้นเคยกันส่วนมากก็จะเป็นสายพันธุ์ที่นิยมนำมาเป็นสัตว์เลี้ยงหรือที่เรียกกันว่า “แมวบ้าน” แต่นอกจากแมวบ้านเชื่อง ๆ แล้วยังมีแมวอีกหลายสายพันธุ์ บางชนิดนิยมเลี้ยงกันเฉพาะในพื้นที่ บางชนิดก็ขึ้นชื่อว่าหาดูยากสุด ๆ เพราะอาศัยอยู่ในป่าลึก ตามเทือกเขาสูง และป่าหิมะเท่านั้น วันนี้กระปุกดอทคอมจึงได้รวบรวมสายพันธุ์แมวหายากมาให้ได้ชมกัน จะได้รู้ว่านอกจากแมวบ้านแล้ว ยังมีแมวสวย ๆ เหล่านี้อยู่บนโลกด้วยนะ 

10 สายพันธุ์แมวหายาก

1. แมวทราย (Sand Cat)
        แมวที่อาศัยอยู่ในทะเลทรายซาฮารา ตะวันออกกลางไปจนถึงเตอร์กีสถาน ขนาดลำตัวจากหัวจรดหางยาว 29-36 นิ้ว สูง 10-12 นิ้ว มีน้ำหนักตั้งแต่ 1.8–3.6 กิโลกรัม กินสัตว์เลื้อยคลาน แมลง งู และนกเป็นอาหาร จุดเด่นอยู่ที่หน้าตาแบ๊ว ๆ แต่มีสีและขนลายเหมือนเสือตัวน้อย ๆ 

10 สายพันธุ์แมวหายาก

2. แมวลิงซ์แคนาดา (Canadian Lynx)

        เป็นแมวป่าขนาดกลาง อาศัยอยู่ตามป่าเขตหนาวแถบอะแลสกาและแคนาดา มีขนหนานุ่มเพื่อช่วยป้องกันความหนาวจากหิมะ โดยขนจะมีสีน้ำตาลอ่อนแซมเทา หางสั้น อุ้งเท้ากับขามีขนาดใหญ่เป็นพิเศษเพราะต้องเดินฝ่าหิมะบ่อย นอกจากนี้ยังสามารถมองได้ไกลถึง 76 เมตรเลย

10 สายพันธุ์แมวหายาก

3. แมวพัลลัส (Pallas Cat)

        สายพันธุ์แมวป่าที่มีขนาดใกล้เคียงกับแมวบ้าน อาศัยอยู่แถบทะเลทรายอัลไพน์ ทุ่งหญ้าสเตปป์ และจะพบได้บนภูเขาที่มีความสูงกว่าระดับน้ำทะเล 4,800 เมตร มีขนยาวหนาและสามารถเปลี่ยนเป็นสีเท่าอ่อนได้ในฤดูหนาว แต่เปลี่ยนเป็นสีเทาปนน้ำตาลแดงเมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิ

10 สายพันธุ์แมวหายาก

4. แมวตีนดำ (Black-footed Cat)

        แมวป่าสายพันธุ์ขนาดเล็กที่สุดแถบแอฟริกา โดยจะมีความสูงเพียง 8–10 นิ้วเท่านั้น มีขนสีน้ำตาลอ่อนแซมจุดสีดำทั่วลำตัว อุ้งเท้ามีสีดำพบได้ในป่าแอฟริกาใต้ ทุ่งหญ้าสะวันนาที่มีหญ้าสูง โดยจะออกล่าเหยื่อในตอนกลางคืนส่วนกลางวันจะแอบซ่อนในโพรงหรือรูบนเนินดิน

10 สายพันธุ์แมวหายาก
 

5. แมวคาราคัล (Caracal)

        พบได้ตามป่าในแอฟริกา เอเชียกลาง เอเชียตะวันตกเฉียงใต้ และตามเทือกเขาของเอธิโอเปีย ขนมีสีน้ำตาลแดง ใบหูใหญ่ ยาว และมีพู่ขนสีดำปลายหู ตัวเมียจะมีขนสีอ่อนกว่าตัวผู้ นอกจากนี้ยังเป็นแมวที่มีอายุยืนถึง 20 ปี มีพฤติกรรมล่ากระต่าย หนู นกและลิงขนาดเล็กเป็นอาหารในตอนกลางคืน

10 สายพันธุ์แมวหายาก
6. เสือลายเมฆ (Clouded Leopard)

        ถึงแม้จะเรียกกันว่าเสือแต่ที่จริงแล้วนั้นเสือลายเมฆมีขนาดใหญ่กว่าแมวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น มีนิสัยเชื่องกว่าเสือและแมวป่าทั่วไป อาศัยอยู่ตามป่าแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กระจายพันธุ์ตั้งแต่ประเทศเนปาล เกาะสุมาตรา ตะวันตกของไทย พม่า ลาว ส่วนมากอาศัยอยู่บนต้นไม้ มักออกหากินในเวลากลางคืน 

10 สายพันธุ์แมวหายาก
7. แมวแพมพาส (Pampas Cat)

        แมวป่าขนาดเล็ก พบได้ในบริเวณที่ราบลุ่มแพมพาสของอาร์เจนตินา ชิลี เปรู บราซิล และโบลิเวีย ขนาดตัวใกล้เคียงกับแมวบ้าน มีความยาวจากหัวจรดปลายหาง 60 เซนติเมตร ขนดก หนา สีน้ำตาลแดง หัวมีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับลำตัว จะออกล่าเหยื่อในตอนกลางคืน

10 สายพันธุ์แมวหายาก
8. แมวจากัวรันดี (Jaguarundi)
        ลักษณะคล้ายแมวผสมพังพอน มีรูปร่างปราดเปรียว ขาสั้น ใบหน้าเล็ก โดยส่วนมากมีขนสีดำ น้ำตาล-เทา และน้ำตาล-แดง มีถิ่นที่อยู่อาศัยในทวีปอเมริกากลาง ทวีปอเมริกาใต้ ไปจนถึงตอนเหนือของเม็กซิโก ล่านก กระต่าย และปลาตามแอ่งน้ำขังเป็นอาหาร

10 สายพันธุ์แมวหายาก

ทีมา http://pet.kapook.com/view135126.html

ความเชื่อเกี่ยวกับแมว

แมวเลีย - คนโบราณมีความเชื่อว่าหากแมวที่เป็นสัตว์เลี้ยงในบ้านเดินมาเลียมือเลียเท้าเจ้าของ คนโบราณเชื่อว่าเป็นนิมิตที่ดี คนผู้นั้นจะได้ลาภและผู้นั้นจะมีความสุข ความเจริญ และหากแมวมาเลียหูเจ้าของเป็นนิมิตว่าจะได้ข่าวและมีคนทางไกลเดินทางมาหา
แมวนอน - คนโบราณมีความเชื่อว่าหากแมวที่เป็นสัตว์เลี้ยงในบ้านนอนคว่ำหลับ เป็นนิมิตว่าเจ้าของจะทำมาค้าขึ้น ค้าขายก็จะได้กำไรดีมาก หากแมวนอนใช้หางกวาดพื้น เป็นนิมิตให้ระวังจะเสียทรัพย์สินเงินทองแบบไม่คาดคิดมาก่อน สุดท้ายหากแมวขึ้นนอนตักเป็นนิมิตว่าจะมีผู้คนนิยมยกย่องเชิดชู และมีชื่อเสียงสมใจหวัง
แมวร้อง - คนโบราณมีความเชื่อว่าหากแมวที่เป็นสัตว์เลี้ยงในบ้านร้องหง่าวๆ ซึ่งเป็นลักษณะอาการเรียกชู้ตอนกลางวัน เป็นนิมิตว่าจะได้ข่าวจากมิตรสหายที่อยู่ไกลกัน หรือมิตรสหายที่ไม่เจอกันมานาน
แมวหนี - คนโบราณมีความเชื่อว่าหากแมวที่เป็นสัตว์เลี้ยงในบ้านเห็นท่านแล้วลุกหนี เป็นนิมิตที่ไม่ค่อยดีนัก ขอให้ระวังศัตรูที่คอยคิดร้าย การทำงานระวังจะมีคนหักหลัง หรือคอยกลั่นแกล้งให้คุณเสียชื่อเสียง
แมววิ่ง - คนโบราณมีความเชื่อว่าหากแมวที่เป็นสัตว์เลี้ยงในบ้านวิ่งวนไปรอบๆห้อง คนโบราณท่านว่าห้ามตีเพราะเป็นนิมิตที่ดี จะโชคดีเรื่องเงินทอง จะมีคนนำเงินทองมา ให้แบบไม่คาดคิด
แมวติดเพดาน - คนโบราณมีความเชื่อว่าหากแมวที่เป็นสัตว์เลี้ยงในบ้านขึ้นไปติดอยู่บนเพดานแล้วลงไม่ได้ คนโบราณท่านว่าจะได้ข่าวหรือมีญาติมาหา บางคนจะได้ ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองในวันนั้น
แมวไม่จับหนู - คนโบราณมีความเชื่อว่าหากแมวที่เป็นสัตว์เลี้ยงในบ้านเห็นหนูตัวใหญ่มาก แต่สุดท้ายไม่กล้าจับหนูตามวิสัยของแมว คนโบราณท่านว่าจะโชคดี จะมีสตรี มาให้คุณด้านการงานการเงิน หรือให้โชคแบบไม่คาดคิด
แมวเดิน - คนโบราณมีความเชื่อว่าหากแมวที่เป็นสัตว์เลี้ยงในบ้านเดินตามเจ้าของแบบผิดปกติ คนโบราณท่านว่าเจ้าของจะได้มิตรสหายที่ดี บางคนอาจได้มิตรแท้ที่ สามารถช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ หากแมวเดินมาพันแข้งพันขา คนโบราณท่านให้ระวังในเรื่องของอารมณ์ ทำการสิ่งใดพยายามอย่าใจร้อนวู่วาม แล้วจะ เกิดผลดีในภายหลัง
ที่มา http://horoscope.sanook.com/32733/

สรีรวิทยา

แมวมีความคุ้นเคยและเลี้ยงได้ง่าย สรีรวิทยาของแมวได้รับการศึกษาโดยเฉพาะ โดยทั่วไปจะมีลักษณะคล้ายกับสัตว์ เลี้ยงลูกด้วยนมที่กินเนื้ออื่น ๆ แต่จากลักษณะที่ผิดแปลกออกไปหลายอย่าง อาจจะทำให้เชื่อว่าเชื้อสายแมว มาจากสายพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในทะเลทราย[6] ตัวอย่างเช่นแมวที่สามารถทนต่ออุณหภูมิสูงมาก. มนุษย์โดยทั่วไปเริ่มที่จะรู้สึกอึดอัดผิวเมื่อมีอุณหภูมิประมาณ 38 ° C (100 ° F) แต่แมวแสดงความรู้สึกไม่สบายผิวของพวกมันเมื่อณหภูมิถึงราวๆ 52 ° C (126 ° F)[7]และสามารถทนต่ออุณหภูมิสูงถึง 56 ° C (133 ° F ) ถ้าพวกมันมีการเข้าถึงน้ำได้[8]
แมวเก็บรักษาความร้อนโดยการลดการไหลเวียนของเลือดไปยังผิวและระบายความร้อนโดยการระเหยผ่านปากของพวกมัน แมวมีความสามารถน้อยที่จะขับเหงื่อโดยมีต่อมอยู่ในอุ้งเท้า[9] และจะหอบเพื่อบรรเทาความร้อนที่อุณหภูมิสูงมากเท่านั้น[10] (แต่อาจหอบเมื่อเครียด) อุณหภูมิร่างกายของแมวไม่ได้แตกต่างกันตลอดทั้งวัน อาจสะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มที่จะมีความกระตือรือร้น ทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน.[11]อุจจาระแมวจะแห้งและปัสสาวะจะมีความเข้มข้นสูงซึ่งทั้งสองอย่างคือการปรับตัวที่จะช่วยให้แมวเก็บน้ำได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้[6] ไตของแมวมีประสิทธิภาพเพื่อให้แมวสามารถอยู่รอดได้ในอาหารที่มีเฉพาะเนื้อสัตว์โดยที่ไม่ต้องกินน้ำเพิ่มเติม[12] และยังสามารถได้รับน้ำโดยดื่มน้ำทะเล[11][13]
แมวเป็นสัตว์กินเนื้อ สรีรวิทยาของพวกมันมีการพัฒนาในการย่อยเนื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพและในทางตรงกันข้ามพวกมันมีปัญหาในการย่อยพืช[6] ในขณะที่สัตว์ที่กินทั้งพืชและสัตว์ เช่นหนูซึ่งต้องการโปรตีนในอาหารประมาณ 4% แต่แมวจะต้องการโปรตีนประมาณ 20% ในอาหารของมัน[6] แมวจะผิดปกติถ้าขาดอาร์จินีกรดอะมิโนและการรับประทานอาหารที่ขาดอาร์จินีเป็นสาเหตุของอาการน้ำหนักลดและอาจถึงแก่ชีวิตได้อย่างรวดเร็ว[14] อีกคุณสมบัติที่ผิดปกติคือการที่แมวไม่สามารถผลิตทอรีนมีทอรีน การขาดก่อให้เกิดการเสื่อมสภาพในจอประสาทตาของแมวทำให้ตาบอดถาวร[6] แมวจะกินเหยื่อของพวกมันทั้งหมดเพราะจะได้รับแร่ธาตุโดยการย่อยกระดูกสัตว์ ดังนั้นอาหารที่มีเนื้อสัตว์โดยเฉพาะอาจก่อให้เกิดการขาดแคลเซียม[6]
ระบบทางเดินอาหารของแมวถูกปรับให้เข้ากับการรับประทานเนื้อสัตว์ ดังนั้นระบบทางเดินอาหารของแมวสั้นกว่าของสัตว์ที่กินทั้งพืชและสัตว์ และแมวมีระดับเอนไซม์ที่จำเป็นในการย่อยสลายคาร์โบไฮเดรตอยู่ในระดับต่ำ[15] นี่จึงจำกัดความสามารถของแมวที่จะย่อยสารอาหารจากพืชอย่างมาก เช่นเดียวกับกรดไขมันบางอย่างที่แมวมีความสามารถในการย่อยจำกัด[15] แม้สรีรวิทยาของแมวจะมุ่งเน้นไปทางอาหารที่เป็นเนื้อ แต่ก็มีอาหารแมวมังสวิรัติทำการตลาดมีการเสริมสังเคราะห์สารเคมีทอรีนและสารอาหารอื่น ๆ ในความพยายามที่จะผลิตอาหารที่สมบูรณ์แบบ แต่บางส่วนของผลิตภัณฑ์เหล่านี้ยังคงล้มเหลวในการให้สารอาหารที่จำเป็นทั้งหมดต่อแมว[16] และผลิตภัณฑ์อาหารที่มีไม่มีส่วนประกอบจากสัตว์ก่อให้เกิดการขาดสารอาหารอย่างรุนแรง[17]
แมวจะกินหญ้าเป็นครั้งคราวคำอธิบายหนึ่งก็คือแมวใช้หญ้าเป็นแหล่งของกรดโฟลิก อีกคำอธิบายหนึ่งก็คือมันจะใช้ในการเป็นแหล่งใยอาหาร

ที่มา https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%A7

การจัดจำแนกแมว

โดยทั่วไปมีการแบ่งพันธุ์แมวออกเป็น 2 ลักษณะใหญ่ ๆ คือ แมวขนยาว (longhaired cat) และ แมวขนสั้น (shorthaired cats) การแบ่งพันธุ์ด้วยวิธีนี้ทำให้จำแนกแมวออกได้ตามลักษณะพันธุ์ที่จำเพาะต่าง ๆ กัน การจัดจำแนกแมวในยุโรปและสหรัฐอเมริกามีการกำหนดมาตรฐานของพันธุ์แมวที่เป็นที่ยอมรับกัน ทั้งนี้ลักษณะมาตรฐานของพันธุ์ก็มีการเปลี่ยนแปลงอยู่บ่อย ๆ การใช้ชื่อเรียกพันธุ์แมวที่แสดงถึงลักษณะของพันธุ์ที่จำเพาะมีความแตกต่างกันระหว่างในยุโรปและสหรัฐอเมริกา และมีบางพันธุ์มีการจัดจำแนกเฉพาะต่างหากในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น
แมวในโลกนี้มีมากมายหลายพันธุ์ โดยเฉพาะแมวที่เป็นสัตว์เลี้ยงไม่นับรวมสัตว์ตระกูลแมว พวกเสือ แมวดาว แมวป่า หรือสิงโต แมวเลี้ยงหรือที่เราเรียกว่า Domestic cat นั้นมีวิวัฒนาการมาจากแมวป่าในธรรมชาติจากหลายภูมิภาคของโลก ชื่อเรียกพันธุ์แมวที่แตกต่างกันที่เรียกกันทุกวันนี้ เช่นเปอร์เซีย แมวสยาม แมวบาหลี แมวอะบิสซิเนีย และแมวโซมาลี นั้น แสดงถึงถิ่นกำเนิดที่แสดงถึงภูมิศาสตร์ที่เขาถือกำเนิดมา ในการจัดนิทรรศการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศอังกฤษเมื่อปีคริสศักราช 1871 ถือเป็นการเริ่มต้นในการนำเสนอพันธุ์แมวในระดับนานาชาติ ทำให้ผู้สนใจในแมวมีความตื่นตัว แต่การแสดงในครั้งนั้นส่วนใหญ่เป็นแมวเปอร์เซียและแมวขนสั้นเป็นหลัก

ที่มา https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%A7

การเลือกแมวมาเลี้ยง

1. . สุขภาพของแมว
สิ่งแรกที่ควรพิจารณาคือ การเลือกแมวที่มีสุขภาพแข็งแรง โดยมีข้อสังเกตดังนี้ ดวงตาสดใสเป็นประกายไม่มีขี้ตาเกรอะกรัง ขนสะอาดปราศจากเห็บหมัด ผิวหนังไม่มีแผลหรือการอักเสบ จมูกไม่มีน้ำมูกหรือคราบน้ำมูก ไม่มีอาการไอหรือหายใจหอบ เหงือกสีชมพู ปากไม่มีกลิ่น ฟันขาวสะอาด หูสะอาด ไม่มีขี้หู หรือไรหู ก้นต้องสะอาดไม่มีคราบอุจจาระเกรอะกรัง และควรสังเกตพฤติกรรมของลูกแมวด้วย หากพบว่าลูกแมวดูตื่นกลัวจนตัวสั่น หรือขู่ตลอด แสดงว่าลูกแมวนั้นจำเป็นต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษในการเลี้ยงให้เชื่อง หรือให้เชื่อฟังเจ้าของ จึงไม่เหมาะสมสำหรับผู้เลี้ยงแมวมือใหม่
 
2. สายพันธุ์
เราศึกษาลักษณะของแมวในแต่ละสายพันธุ์ เพื่อให้ได้แมวที่มีลักษณะและนิสัยที่ตรงตามความต้องการของเรา หรือหากที่บ้านเรามีเด็กก็ควรเลือกแมวที่สามารถเข้ากับเด็กได้ง่าย และจะทำให้เราจะได้รู้ถึงการดูแลที่จำเป็นสำหรับการดูแลแมวแต่ละสายพันธุ์ด้วย
 
3. เพศ
เพศก็มีความสำคํญที่เราควรนำมาพิจารณาด้วยเช่นกัน เช่น แมวตัวผู้จะรักอิสระ ชอบหนีเที่ยว ส่วนแมวเพศเมียมีนิสัยติดบ้าน
 
4. อายุ
สำหรับมือใหม่ที่มีเวลาดูแลเอาใจใส่ ควรเลี้ยงแมวตั้งแต่ยังเป็นลูกแมว เนื่องจากฝึกสอนได้ง่าย และอายุลูกแมวที่เหมาะสมในการนำมาเลี้ยงควรอายุตั้งแต่ 8-10 สัปดาห์ขึ้นไป ซึ่งเป็นช่วงที่แมวหย่านมแล้ว และสามารถกินอาหารจากจานได้เอง

ที่มา http://pet.pigthai.com/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A2/

นิสัยของแมว

วิธีการที่แมวจะบอกรักคุณนั้นมีดังนี้ …
1. กระโดดนั้งตักคุณ แล้วก็ใช้หน้าถูกับตัวคุณ แมวส่วนใหญ่มักจะแสดงออกแบบนี้ เรียกว่าเป็นการแสดงออกแบบสากลก็ว่าได้
2. ส่งเสียงร้องเรียกคุณ “เมี้ยว เมี้ยว” เบา ๆ แล้วก็ทำหน้าอ้อน ๆ ทำตาหวานใส่แมวที่เรียบร้อยมักจะเป็นแบบนี้
3. กัดที่หน้าแข้ง หรือข้อศอกเบา ๆ เจ้าของบางคนจะไม่ชอบ และเข้าใจผิดว่าแมวดุ แต่จริง ๆ 
แล้วเป็นการแสดงความรักของแมวระดับจ่าฝูงก็ว่าได้ เพราะพวกนี้จะอ้อนไม่ค่อยเป็น
4. นวดหลัง บางครั้งเมื่อคุณนอนอยู่จะเห็นว่าแมวจะขึ้นไปเดิน หรือเหยียบหลังคุณ 
ถ้าหากคุณรู้สึกพอใจมันก็จะทำบ่อย ๆเพื่อให้คุณสบาย แมวพวกนี้จัดเป็นพวกไอคิวสูงขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง
5. หอมแก้ม บางครั้งเวลาอุ้มแมวจะถูกแมวหอมแก้ม อันนั้นมันบอกว่า ” รักคุณมากเลยหล่ะ ”
6. แมวใช้เท้าหน้าลูบหน้าคุณ หรือตบที่หน้าเบา ๆ 
ลักษณะนี้ก็เหมือนกับความรู้สึกเวลาคุณลูบหน้าคนที่คุณรักนั่นแหละ
7. ลูบหน้า แล้วก็ร้อง ๆ เบา ๆ มันบอกคุณว่า ” รักเจ้านายมากที่สุดในโลกเลย ”
8. แมวเอาตัวมาถูที่ขา แรง ๆ แล้วก็ร้องดัง ๆ อันนี้เป็นการแสดงออกว่ารัก ของแมวประเภทหัวโจกชอบโวยวาย
9. กระโดดเกาะที่หลังเวลาเจ้าของนั่งลง แมวขี้เล่น หรือแมวที่ซุกซน หรือแมวเด็ก ๆ 
มักจะแสดงออกแบบนี้ก็เหมือนกับเวลาที่ตอนคุณเด็ก ๆ คุณก็อยากให้พ่อ อุ้มหลังขึ้นเหมือนกัน
10. มานอนซุกคุณเวลาคุณนอนหลับ อันนี้แสดงว่ารักมาก อยากอยู่ด้วยตลอดเวลา แม้เวลาจะนอนหลับ

โรคที่เกิดกับแมว

โรคต่าง ๆ ในแมว


ใบบรรดาสัตว์เลี้ยงทุกชนิด แมวจัดว่าเป็นพาหะของโรคติดเชื้อชนิดรุนแรงมากโรคที่สุด การป้องกันและการรักษาอาการเหล่านี้มักมีความซับซ้อนและมีปัญหามาก โรคติดเชื้อจำนวนมาก ซึ่งทั้งหมดติดจากเชื้อไวรัส มักซุ่มซ่อนอยู่ในร่างกายโดยไม่รู้ตัว บางชนิดอาจแฝงอยู่ในตัวนานหลายปี บางครั้งถึงอาการจะหายสนิทอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็อาจกลับมาป่วยได้ใหม่เมื่แมวอายุมากขึ้น หรือเมื่อแมวมีความเครียดทางกายหรือทางใจ ความเข้าใจอย่างดีถึงวิธีการติดต่อของโรคติดเชื้อ จึงนับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง หากคุณปรารถนาจะป้องกันแมวของคุณจากโรคร้ายแรงเหล่านี้ โดยเฉพาะจากโรคที่ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน
---------------------------------------------------------------------------------------------------
โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องในแมว หรือ Feline Immunodeficiency Virus (FIV) โรค FIV ไม่รุนแรงเท่ากับโรคมะเร็งเม็ดโลหิตขาวในแมว (หรือ FeLV) และไม่เกี่ยวข้องกับเนื้องอก โรคนี้มีระยะการฟักตัวนาน จึงรุนแรงถึงเสียชีวิตในขั้นสุดท้ายของโรคเหมือนโรค FeLV 
อาการบ่งชี้ของโรค FIV ไม่อาจคาดการณ์ได้ แต่ประกอบด้วย
-  มีอาการแทรกซ้อนจากการติดเชื้อหลายประเภท (เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง)
-  มีอาการเลือดจาง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการยับยั้งของไขกระดูก
การติดต่อ
โรค FIV ติดต่อหลัก ๆ ทางน้ำลาย การกัดเป็นวิธีที่พบบ่อยที่สุดในการติดเชื้อนี้ เป็นเหตุให้แมวตัวผู้ ซึ่งชอบต่อสู้มากกว่าตัวเมีย มีโอกาสติดเชื้อนี้สูงกว่าตัวเมียถึงสามเท่า
---------------------------------------------------------------------------------------------------
โรคลำไส้อักเสบติดเชื้อไวรัสในแมว หรือ Feline Infectious Enteritis (FIE)/Feline Pandleucopenia/Feline Parvovirusโรคติดเชื้อนี้สามารถป้องกันได้และัเรียกได้หลายชื่อ แต่ก็มีอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา
อาการบ่งชี้ของโรค
-  อาเจียนและท้องร่วงรุนแรง โดยอาจมีเลือดปน
-  เซื่องซึมและเมินเฉยต่อสิ่งต่าง ๆ 
-  มีอาการขาดน้ำ
การติดต่อ
โรค FIE ติดต่อผ่านสารคัดหลั่งและของเสียที่ขับจากร่างกายของสัตว์ที่ติดเชื้อนี้หรือผ่านสิ่งสกปรกต่าง ๆ แมวที่เป็นโรค FIE จะยังคงติดเชื้ออยู่นานหลายสัปดาห์หรือเป็นเดือน ๆ ไวรัสชนิดนี้มีความอดทนสูง โดยสามารถมีชีวิตอยู่ในอุณหภูมิห้องได้นานหนึ่งปี
---------------------------------------------------------------------------------------------------
โรคมะเร็งเม็ดโลหิตขาวในแมว หรือ Feline Leukaemia Virus (FeLV) โรค FeLV 
มีระยะฟักตัวค่อนข้างนานหลายปี และมักจะลุกลามจนถึงขึ้นคุกคามชีวิตในการติดเชื้อระยะสุดท้าย
อาการบ่งชี้ของโรค FeLV ไม่อาจคาดการณ์ได้ แต่ประกอบด้วย 
-  มีพัฒนาการของเซลล์มะเร็งในเม็ดเลือดขาว เช่น มีเนื้องอกร้ายของต่อมน้ำเหลือง
-  มีอาการแทรกซ้อนจากการติดเชื้อหลายประเภท (เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันถูกยับยั้ง)
-  มีสภาวะเลือดจาง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการยับยั้งของไขกระดูก
การติดต่อ
เชื้อไวรัส FeLV ติดต่อผ่านน้ำลาย ปัสสาวะ และสารคัดหลั่งอื่น ๆ ของแมวที่ติดเชื้อ ที่บ่อยที่สุดคือการติดเชื้อจากแม่สู่ลูกตั้งแต่แรกเกิด โรค FeLV อาจติดต่อผ่านการสัมผัสอย่างใกล้ชิดกับแมวที่ติดเชื้อนี้ รวมทั้งผ่านชามอาหาร ชามน้ำ และถาดรองมูลของแมวที่ติดเชื้อ

 
---------------------------------------------------------------------------------------------------
โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ หรือ Upper Respiratory Tract (URT) Infections 
โรค URT อาจทำให้อวัยะหลายแห่งมีอาการติดเชื้อรุนแรง เชื้อไวรัส Reovirus มักเป็นต้นเหตุของการอับเสบเล็กน้อยที่ตาเท่านั้น ขณะที่เชื้อ Chlamydia ซึ่งอยู่ในตระกูลแบคทีเรียจะทำให้เกิดการอักเสบอย่างมาก ซึ่งเป็นปฏิกิริยาต่อยาหยอดตาปฏิชีวนะ ทั้งนี้เชื้อไวรัส Calicivirus (Calici) และ Rhinortacheitis virus คือ สาเหตุของอาการรุนแรงที่สุดขแงการติดเชื้อ URT
    แมวอาจทุเลาจากการติดเชื้อไวรัส calici หรือการอักเสบของจมูกและหลอดลม แต่จะกลายเป็น "พาหะเงียบ" นำเชื้อไปติดแมวตัวอื่นได้ ทั้งนี้การอักเสบของจมูกและหลอดลม เกิดจากไวรัสตระกูล herpesvirus ซึ่งจะฟื้นตัวได้ไหมในภาวะที่ร่างกายและจิตใจตึงเครียด
การติดเชื้อไวรัส Calicivirus และการอักเสบของจมูกและหลอดลมมีอาการดังนี้
-  จาม และมักมีขี้มูกหนา
-  ตาเยิ้มและมีขี้ตาเหนียว
-  มีแผลเปื่อยและแผลขนาดเล็กในปาก
-  มีไข้
-  อยากอาหารลดลง พร้อมกับสูญเสียการดมกลิ่น
-  มีแผลเปื่อยที่ตา (เป็นผลจากการติดเชื้อไวรัส Rhinotracheitis virus)
-  เซื่องซึม และข้อต่อบวมในลูกแมว (เป็นผลจากการติดเชื้อไวรัส calicivirus)
การติดต่อ
- ไวรัส Herpesvirus ไม่แพร่กระจายในอากาศ แต่ติดต่อผ่านการสัมผัสโดยตรงกับแมวที่ติดเชื้อ หรือการสัมผัสสารคัดหลั่งหรือของเสียที่ขับออกจากร่างกายของแมวที่ติดเชื้อ
- ไวรัสชนิดนี้สามารถมีชีวิตอยู่ในอุณหภูมิห้องได้นานหนึ่งเดือน
- ไวรัส Calicivirus ติดต่อโดยการสัมผัสโดยตรงกับแมวที่ติดเชื้อ หรือการสัมผัสสิ่งที่เปื้อนสารคัดหลั่งหรือของเสียที่ขับออกจากร่างกายของแมวที่ติดเชื้อ และยังฟุ้งกระจายไปในอากาศได้ด้วย
- ไวรัส Chlamydia ติดต่อผ่านสารคัดหลั่งของแมวที่ติดเชื้อ เช่น น้ำตาและน้ำลาย ส่วนแบคทีเรีย Bordetella ซึ่งเป็นสาเหตุของการติดเชื้อ URT ในสุนัข สามารถติดต่อจากสุนัขที่ติดเชื้อไปสู่แมวได้ผ่านเชื้อที่ฟุ้งกระจายในอากาศ
---------------------------------------------------------------------------------------------------
โรคเยื่อบุช่องท้องอักเสบชนิดติดเชื้อในแมว หรือ Feline Infectious Peritonitis (FIP)
ลูกแมวจะติดเชื้อโรคนี้ได้มากที่สุด ในระยะแรกที่ติดเชื้อไวรัสนี้ จะไม่มีอาการแสดงออกมา หรืออาจท้องร่วงเล็กน้อย จากนั้นเชื้อจะลุกลามจนถึงขึ้นคุกคามชีวิตได
อาการของโรค FIP ไม่อาจคาดได้ แต่แบ่งเป็นรูปแบบ "เปียก" และ "แห้ง"
โรค FIP ในรูปแบบ " เปียก" ทำให้
-  มีของเหลวในช่ออก ทำให้หายใจลำบาก
-  มีของเหลวในช่องท้อง ทำให้ท้องบวม
-  มีไข้ อาเจียน และท้องร่วง
-  น้ำหนักลด
อาการของโรค FIP ในรูปแบบ "แห้ง" ได้แก
-  ไตวาย
-  กระเพาะและลำไส้ทำงานไม่สะดวก
-  มีปัญหาด้านทางเดินหายใจ
-  เป็นลม
-  ตับติดเชื้อ
-  เซื่องซึม
การติดต่อ
โรคติดเชื้อไวรัสตระกูล Coronavirus ในแมวมีอยู่สองประเภท คือ Feline Enteric Coronavirus และ FIP
    ทั้งสองประเภทสามารถติดต่อไปสู่ลูกแมวทางการสัมผัสปากและจมูกกับมูลของแมวที่ติดเชื้อ ระยะรุนแรงที่สุดของโรค Feline Enteric Coronavirus จะทำให้ลูกแมวท้องร่วงอ่อน ๆ ภายหลังเพิ่งหย่านม ถ้าแมวติดเชื้อไวรัสนี้เป็นเวลานาน เชื้อไวรัสก็จะพัฒนาไปสู่ขั้นรุนแรงของโรค FIP ที่เป็นอันตรายถึงชีวิต
---------------------------------------------------------------------------------------------------
โรคพิษสุนัขบ้า หรือ Rabies
โรคนี้อันตรายถึงขึ้นเสียชีวิต และสามารถติดต่อไปสู่คน
อาการของโรคนี้มีหลากหลายมาก
ประกอบด้วย
-  เซื่องซึม
-  กลืนอาหารลำบาก
-  เป็นลม
-  ก้าวร้าวมากขึ้น หรือเชื่อฟังมากขึ้น ซึ่งอย่างหลังไม่ค่อยพบนัก
การติดต่อ
โรคพิษสุนัขบ้าติดต่อผ่านน้ำลายจากการถูกกัดโดยสัตว์ที่ติดเชื้อนี้ อย่างไรก็ตาม แมวมักสามารถต้านทานการติดเชื้อนี้ได้ตามธรรมชาติ เชื้อไวรัสชนิดนี้อ่อนแอ และไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้หากไม่อาศัยอยู่ในพาหะ
----------------------------------------------------------------------------
อ้างอิงจาก :
หนังสือ แมว ของฉันเป็นอะไร What's up with my CAT?
เขียนโดย :
Dr.Bruce Fogle
แปลโดย :
สิทธิพร ชื่นชุ่มจิตร์
ที่ปรึกษาวิชาการ :